ไทยคุมเข้มชายแดน กัมพูชาสะเทือน เศรษฐกิจชาวบ้านโดนเต็ม ๆ
SURIYA NEWS รายงานพิเศษ – บรรยากาศตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชากลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังเหตุปะทะระหว่างชาวบ้านกัมพูชากับเจ้าหน้าที่ไทยเมื่อไม่นานนี้ เหตุการณ์เริ่มจากการที่ชาวบ้านฝั่งกัมพูชารวมตัวคัดค้านแนวลวดหนามที่ถูกขึงกั้น พยายามรื้อถอนจนทำให้เจ้าหน้าที่ไทยต้องใช้มาตรการควบคุมฝูงชน ไม่ว่าจะเป็นกระสุนยาง แก๊สน้ำตา และเสียงความถี่สูงเพื่อสลายกลุ่มผู้ชุมนุม

แม้เหตุปะทะจะยุติลงโดยไม่มีผู้เสียชีวิต แต่สิ่งที่ตามมาคือบรรยากาศชายแดนที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฝั่งไทยสั่งเพิ่มกำลังทหารเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง ด่านตรวจหลายแห่งถูกเข้มงวดกว่าที่เคย บางช่องทางผ่านแดนถูกปิดชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะซ้ำ ส่งผลให้คนที่ต้องพึ่งพาการเดินทางข้ามแดนในชีวิตประจำวันเริ่มเดือดร้อนอย่างชัดเจน
ตลาดโล่ง – การค้าหยุดชะงัก
ตลาดชายแดนฝั่งกัมพูชาที่เคยคึกคักเต็มไปด้วยแรงงานและพ่อค้าแม่ค้ากลับเงียบเหงา แผงขายสินค้าที่เคยแน่นขนัดกลายเป็นแผงว่าง สินค้าถูกเก็บกลับเข้าบ้านเพราะไม่มีคนซื้อ ผู้ค้าหลายคนเล่าว่า รายได้หายไปเกือบทั้งหมดตั้งแต่ไทยเข้มงวดการข้ามแดน
แม่ค้ารายหนึ่งจากจังหวัดบันเตียเมียนเจยบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ก่อนหน้านี้ขายผักวันหนึ่งก็พอเลี้ยงครอบครัวได้ แต่พอคนเดินทางน้อยลง รายได้หายไปเกือบหมด เราไม่รู้จะอยู่ยังไงถ้าเหตุการณ์ยืดเยื้อต่อไป” คำพูดสั้น ๆ นี้สะท้อนความจริงที่เจ็บปวดว่าความขัดแย้งทางการเมืองและความมั่นคงกลับกลายเป็นภาระที่ประชาชนต้องรับแทน
แรงงานกลับบ้าน – ครอบครัวขาดรายได้
แรงงานกัมพูชาที่เคยข้ามฝั่งมาทำงานในฝั่งไทย โดยเฉพาะงานก่อสร้างและเกษตรกรรม ต้องหยุดงานทันทีเพราะการข้ามแดนไม่สะดวก หลายคนหันกลับบ้านไปโดยไม่ได้ค่าจ้างต่อเนื่อง ทำให้ครอบครัวที่รอเงินส่งกลับได้รับผลกระทบหนัก เด็กและคนชราที่พึ่งพาเงินจากแรงงานเหล่านี้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในชีวิต
ภาพที่เห็นตามท้องถนนชายแดนคือแรงงานจำนวนมากหอบหิ้วกระเป๋ากลับบ้าน บางคนเดินทางพร้อมครอบครัว สีหน้าบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าและความกังวลว่ารายได้หลักของพวกเขาจะหายไปนานแค่ไหน

ไทยคุมเข้มชายแดน เพิ่มกำลัง – เส้นเลือดการค้าสะดุด
ฝั่งไทยเองได้ประกาศเพิ่มกำลังทหารและตำรวจประจำการตามจุดยุทธศาสตร์ พร้อมย้ำว่าเป็นมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลาย อย่างไรก็ตาม การคุมเข้มเช่นนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะการค้าชายแดนที่เคยเป็นเส้นเลือดใหญ่กำลังสะดุดอย่างหนัก
ตัวเลขจากผู้ประกอบการท้องถิ่นระบุว่า ปริมาณสินค้าข้ามแดนลดลงกว่าครึ่งภายในไม่กี่วันหลังเกิดเหตุการณ์ หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายในเร็ว ๆ นี้ อาจทำให้เกิดผลเสียต่อทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะเศรษฐกิจรายย่อยที่เปราะบางอยู่แล้ว
วงในเตือน – ผลกระทบยาวนาน
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจชี้ว่า หากการคุมเข้มยืดเยื้อ ไม่เพียงแต่จะทำให้การค้ารายวันหยุดชะงัก แต่ยังเสี่ยงต่อการสร้างบรรยากาศ “ไม่ไว้วางใจ” ระหว่างประชาชนสองฝั่ง คนไทยและกัมพูชาที่เคยพึ่งพากันในชีวิตประจำวันอาจห่างเหิน และนั่นจะกลายเป็นรอยร้าวที่ยากจะสมาน
“สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่แค่รายได้ แต่คือความสัมพันธ์ของคนเล็กคนน้อยสองประเทศที่อาจพังทลาย เพราะความตึงเครียดที่พวกเขาไม่ได้ก่อ” แหล่งข่าววงในด้านการทูตเผย
สรุปโดย SURIYA NEWS
สถานการณ์ชายแดนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการวัดกำลังทางการเมืองหรือความมั่นคง หากแต่เป็นบทพิสูจน์ว่า ประชาชนธรรมดาคือผู้รับผลกระทบโดยตรง ไทยอาจควบคุมพื้นที่ได้มั่นคง แต่ราคาที่ต้องจ่ายคือความทุกข์ยากของผู้คนที่สูญเสียรายได้ และชีวิตประจำวันถูกสั่นคลอน
คำถามคือ หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ ใครจะเป็นผู้เยียวยาความเจ็บปวดของคนเล็กคนน้อยเหล่านี้? หรือพวกเขาจะต้องกลายเป็นเหยื่อซ้ำของความขัดแย้งที่ไม่มีที่สิ้นสุด