แม่ค้าไทย vs แม่ค้าเขมร ใครเดือดร้อนกว่ากัน หลังชายแดนคุมเข้ม
SURIYA NEWS รายงานพิเศษ – ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุเดือด ทำให้ทั้งสองฝั่งต้องเผชิญผลกระทบหนักหน่วง โดยเฉพาะ “แม่ค้า” ซึ่งเป็นกลุ่มคนตัวเล็กที่อยู่แนวหน้าของเศรษฐกิจท้องถิ่น คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ระหว่างแม่ค้าไทยกับแม่ค้าเขมร ใครกันแน่ที่เดือดร้อนมากกว่า?

แม่ค้าไทย – ตลาดโรงเกลือซบเซา รายได้หายวับ ไทยเขมรใครเดือดร้อนกว่ากัน
ตลาดโรงเกลือ จังหวัดสระแก้ว เคยเป็นสวรรค์นักช้อปและจุดค้าขายคึกคักของภาคตะวันออก ทุกวันนี้กลับเงียบเหงาอย่างน่าใจหาย แผงค้าที่เคยอัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าจากหลายพื้นที่ กลายเป็นบูธว่าง ๆ ที่แทบไม่มีคนเดินเข้า
แม่ค้าขายเสื้อผ้ารายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า “เมื่อก่อนวันเสาร์–อาทิตย์ขายได้วันละพันสองพัน ตอนนี้ทั้งวันแทบไม่ได้สักร้อย” เสียงบ่นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะรายได้ที่หายไปทันทีส่งผลต่อครอบครัวโดยตรง หลายคนเริ่มกังวลว่าจะไม่มีเงินพอสำหรับค่าเช่าร้าน ค่าไฟ และค่าเลี้ยงลูก
แม้รัฐบาลไทยจะเตรียมงบเยียวยา 25,000 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ แต่สำหรับแม่ค้าในพื้นที่ ความช่วยเหลือยังมาไม่ถึงทันที หลายครอบครัวยังคงต้องดิ้นรนทุกวันเพื่อประคองธุรกิจเล็ก ๆ ให้รอด
แม่ค้าเขมร – สูญรายได้ ไม่มีหลักพยุง
ฝั่งกัมพูชา แม่ค้าในบันเตียเมียนเจยและหมู่บ้านชายแดนเผชิญสภาพไม่ต่างกัน บางรายเจ็บหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาพึ่งพาลูกค้าฝั่งไทยเกือบทั้งหมด เมื่อชายแดนถูกคุมเข้ม รายได้หายไปแทบจะ 100%
แม่ค้าขายผักฝั่งกัมพูชาบอกว่า “เมื่อก่อนข้ามไปขายได้ทุกวัน ตอนนี้ต้องนั่งอยู่บ้าน สินค้าขายไม่ออก ต้องขายทิ้งในหมู่บ้านราคาถูก” ปัญหาคือ ฝั่งกัมพูชาแทบไม่มีงบเยียวยาที่เป็นรูปธรรมเหมือนฝั่งไทย การสูญเสียรายได้จึงหมายถึงการขาดเงินเลี้ยงครอบครัวโดยตรง
ค่าเงินเรียลกัมพูชาที่อ่อนค่าลงยิ่งทำให้ชีวิตลำบากกว่าเดิม สินค้าหลายอย่างที่ต้องนำเข้าจากไทยมีราคาแพงขึ้นทันที แต่รายได้กลับเป็นศูนย์ หลายครอบครัวเริ่มก่อหนี้เพิ่ม หรือไม่ก็ต้องให้ลูกหลานเลิกเรียนเพื่อช่วยทำงานหาเงิน

ไทยเขมรใครเดือดร้อนกว่ากัน เปรียบเทียบความต่าง – เจ็บคนละแบบ
หากดูเพียงตัวเลข ฝั่งไทยอาจเจ็บหนักในแง่ “เม็ดเงิน” เพราะตลาดโรงเกลือและการค้าชายแดนหมุนเงินมหาศาล การหยุดชะงักจึงทำให้สูญเสียหลายพันล้านบาท แต่ฝั่งไทยยังมีงบเยียวยาและสวัสดิการรองรับในระดับหนึ่ง
ขณะที่ฝั่งกัมพูชา แม้ขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่า แต่ผลกระทบตรงสู่ครอบครัวแรงงานและแม่ค้ากลับรุนแรงกว่า เพราะไม่มีหลักประกันใด ๆ รองรับ พอขายไม่ได้ก็เท่ากับ “ศูนย์บาท” และไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน
เสียงสะท้อนจากสองฝั่ง
แม่ค้าฝั่งไทย: “เราอยากได้ลูกค้า อยากให้ตลาดกลับมาปกติ เงินเยียวยาช่วยได้บ้างแต่ไม่พอเลี้ยงชีวิตจริง”
แม่ค้าฝั่งกัมพูชา: “ไม่มีรายได้ ไม่มีใครช่วย ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยการหยิบยืมจากญาติ”
คำพูดสองประโยคนี้สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า แม้จะเจ็บทั้งคู่ แต่ระดับความสิ้นหวังแตกต่างกัน
สรุปว่า
แม่ค้าไทยกับแม่ค้าเขมร ต่างได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งชายแดนอย่างหนักหน่วง ฝั่งไทยเจ็บแรงในเชิงมูลค่า แต่ยังมีรัฐเข้ามาช่วยเยียวยา ขณะที่ฝั่งเขมรเจ็บลึกในเชิงชีวิตจริง เพราะไม่มีสวัสดิการและเงินช่วยเหลือรองรับ
ในที่สุดแล้ว คนเล็กคนน้อยสองฝั่งกลับเป็นผู้รับภาระที่ไม่ได้ก่อ พวกเขากลายเป็นเหยื่อของเกมการเมืองและความมั่นคง ที่ยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร